วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

รักษามะเร็ง หายชะงัด ให้เป็นวิทยาทาน โดย อาจารย์โจ้



 https://www.facebook.com/Arjarnjo 
อาจารย์โจ้, ซินแสโจ้ ,หมอโจ้ 
ตำหรับยานี้แจกให้เป็นวิทยาทาน ขอร้องอย่าเอาไปทำเพื่อเป็นการค้า ขูดรีดค่ายาแพงๆจากคนป่วย มันบาปมาก 
อ่านให้ดี เมื่อหายแล้ว ให้ไปทำบุญถวายสังฆทาน ให้คุณหมอเลื่อน ด้วย
ตำรายานี้ข้าพเจ้าได้มาจากความเมตตาของ หลวงพ่อ พระครูโพธิธรรมารักษ์ (พระอาจารย์ทองหล่อ ฐานวณฺโณ) วัดโพธิ์ ต.กบเจา อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
ตำรานี้เหมือนกับตำรายาแก้โรคเรื้อนกินกระดูก ในคัมภีร์โชติรัต แต่ของ คุณหมอเลื่อน เพิ่มต้นหนวดแมวเข้ามาอีกเท่านั้น คิดว่ายาตำรับนี้ นอกจากรักษามะเร็ง แล้วคงจะรักษาโรคเรื้อน และโรคอื่นๆที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกันได้ จึงให้พิจารณากันตามสมควรเถิด
ยารักษามะเร็ง ของลุงเลื่อน มาตราเงิน หมอยากลางบ้านจนๆผู้มีใจประเสริฐ
อันนี้เคยรักษามะเร็งกระดูก ที่ลุกลามจากเท้า ไปทั้งขา อีกทั้ง รักษามะเร็งมดลูก หายมาแล้ว
 
ตัวยามีดังนี้
หัวยั้ง,กระดูกช้าง,กระดูกแพะ,กระดูกควายเผือก,กระดูกหมาดำ,เถาโคคลาน,บ้าช้าหมอง,(ฝีหมอบ),ยาข้าวเย็นเหนือ,ยาข้าวเย็นใต้,หญ้าหนวดแมว(ขึ้นตามที่น้ำขัง)ต้นหมวดแมว(ฟ้าพยับหมอก),หนักสิ่งละ5บาท(หรือมากกว่าก็ได้)รวมกันต้มให้เดือดแล้วเคียวไฟอ่อนๆสักครู่ เวลากินยาให้ใช้กะลามะพร้าวแทนถ้วยหรือแก้วรินยากิน กิน3เวลา ก่อนอาหาร
ข้อสำคัญยานี้ต้องอุ่นทุกวันๆ วันละ 1 ครั้ง เป็นอย่างน้อยควรเติมน้ำทุกครั้งเมื่อจะอุ่นยา กินเรื่อยไปจนยาจืดจึงเปลี่ยนยาใหม่ ยาหม้อหนึ่งกินได้ถึง15วัน หรือกว่านั้น(ต้มครั้งแรกให้ใส่น้ำให้ท่วมยา)
ข้อเตือนใจคนเรามีกรรมเป็นของตนเอง ถ้าไม่ถึงที่ตายกินยาอะไรรักษาหมอไหนก็มักถูกกับโรคและหายได้ง่ายๆถ้าถึงคราวจะต้องตาย ยาเทวดาหมอเทวดาก็รักษาไม่ถูกตายจนได้
จำไว้ว่ากินยาอะไรก็ตามถ้าถูกกับโรคเพียงหม้อแรกก็เห็นผลแล้ว ถ้าหม้อแรกไม่ไปเหนือมาใต้ควรเปลี่ยนยาขนานใหม่เถอะ และ มะเร็งเป็นโรคร้ายแรงมาก การสร้างกำลังใจให้ตนเองไว้เป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุด ขอให้ผู้ป่วยด้วยโรคร้ายนี้จงหายและมีชีวิตยืนยาวต่อไปเพื่อสร้างบุญกุศลคุณงามความดีให้ตนเองและให้แก่สังคม ประเทศชาติ ไปตลอดกาลนาน

แนวทางรักษาคนเป็นมะเร็งที่เคยได้ผลของหมอโจ้ (หมอโจ้ฉายานี้คนอื่นเรียกกันเอง)
ในช่วงนั้น คนป่วย เป็นมะเร็งน้ำเหลือง เราเจอกันโดยบังเอิญ จากการที่โยมคนนั้น มาทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง (อย่าถือสานะผมเคยชินเรียกผู้อื่นว่าโยม) เธอผู้นั้นมาทำบุญถวายสังฆทาน คิดว่าตนเองไม่รอดแน่ รักษามาถึงเจ็ดปีแล้ว ท้ายสุดให้เคโมไม่ได้ กินยากลางบ้านก็ไม่ได้ สภาพตัวเธอผิวเกรียมดำกร้าน แห้งมาก ปากซีดคล้ำ ด้านในปากพองหมด ไม่มีเรี่ยวแรง สภาพน่าหนักใจ ตอนนั้นเราไปที่วัดนั้น และ ได้ไปดูดวงที่นั่นด้วย ... เธอเข้ามาพร้อมดอกไม้ธูปเทียน เพื่อไหว้ครูโหราศาสตร์ เราทักไปว่า จากนี้...อีกไม่เกินสี่สิบวัน... เราดูเธอหนักใจเหลือเกิน หลังจากสนทนากันพักใหญ่ เราจึงตั้งจิตคิดถึงคุณพระรัตนตรัย และ คุณครูบาอาจารย์ เทพ และ พรหมทั้งหลาย ให้ดลบันดาลจิตใจเราด้วยเถิด หากไม่เกินวาสนาเราจะสงเคราะห์ให้...
สิ่งที่เราให้ทำมีดังนี้
1.ตั้งสัจจะต่อครูเรา จะไม่ทำผิดศีล ข้อปาณาติบาต ตลอดชีวิต ไม่ทำเอง และ ให้ผู้อื่นทำให้ 
2.ให้ถือศีลแปด ตลอดการรักษาตัว
3.ให้กินเจ ตลอดการรักษา และ ห้ามเธอกิน ผัก และ ผลไม้สีเหลืองทุกชนิด และห้ามหน่อไม้ และ ของแสลงโรคอื่นๆ รวมถึง ข้าวเหนียวทุกชนิดด้วย
4.และเมื่อหายดีแล้ว อาหารแสลงโรคทุกชนิด เช่น หน่อไม้ทั้งหมด, ห่าน และ ของทะเล รวมถึง หอย ทุกอย่าง
5.ระหว่างที่รักษาตัวเป็นเวลา77วัน ห้ามออกนอกวัดเด็ดขาด 
หลังจากที่เธอรับปากแล้ว เราให้เธอไปเตรียมของที่จะต้องใช้มีดังนี้
แคร่,หม้อเกลือ(หม้อดินเผาที่ใช้สำหรับการประคบ),เมล็ดข้าวเปลือก,ใบย่านาง,ใบพลับพลึง,มะนาว,มะกรูด,ขมิ้น,ไพล,ตะไคร้ฯลฯ ที่จำเป็น และ รวมถึงซื้อไม้กวาดมาถวายเป็นสังฆทานด้วย
ขั้นตอนการรักษา
ทุกเช้า ต้องตื่นตีสี่ ทำวัตรสวดมนต์ และ นั่งสมาธิ หลังจากนั้น ให้กวาดลานวัด ทำความสะอาดห้องน้ำวัด โดยให้ตั้งจิตระลึกว่าที่ทำความดีนี้ถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะลงมือทำความสะอาดวัด และ อุทิศบุญกุศลให้กับเหล่าเทพเทวา และ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และ ก็ลงมือทำไป
หลังอาหารเช้า เราเริ่มให้เธอดื่ม น้ำย่านางที่คั้นสดๆ รวมถึง น้ำคั้นจากต้นข้าวอ่อนๆ แต่ก่อนทำให้ระลึกถึง พระคุณครูหมอ ครูยา ครูว่าน ครูไพล ครูหมอฮากไม้ ครูหมอสมุนไพร ทุกท่าน และ ครูย่านาง รวมถึง พระแม่โพสพ ด้วย
จากนั้น เธอจึงทานข้าวเช้า ไปตามปรกติ
ตอนสาย ให้เธอเดินไปขึ้นยอดเขา ไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้า (อาจดูเหมือนโหดร้ายแต่มันจำเป็น) เราให้เธอแบกไม้กวาดด้ามยาวไปด้วย เป็นไม้ค้ำยัน ประคองตัวเอง อีกทั้งระหว่างทางเดินไป เราให้เธอกวาดไปด้วยเท่าที่ทำได้ ตอนนี้ล่ะ เธอค่อยๆเดินกะโผลกกะเผลกไป มีสามีเธอ และ ญาติเธอ ตามไปด้วย และ ในที่นั้นมีโยมแม่ของเราไปด้วย โยมแม่เราต่อรอง ให้คนแบกเธอขึ้นไป..แต่เราไม่ให้ เราไปบอกเธอคนนั้นที่ป่วยว่า..ร่างกายเรา มีขาไว้เดินไปนมัสการพระพุทธเจ้า มีสองมือไว้ไปกราบพระพุทธเจ้า เธอจงเดินด้วยตัวของเธอเองเถิด... เเล้วเราก็นำหน้าละลิ่วไป หันมาอีกที โยมแม่เราเองประคองเธอเดิน เหมือนทหารที่ช่วยกันในยามสงครามเลย เราเลยเดินย้อนกลับมา และ บอกคำทำนายอีกว่า เดินเถอะโยม สู้นะโยม โยมเดินขึ้นเองได้ และ โยมเดินลงเองได้ เราทำนายว่า ถ้าเป็นอย่างนี้กำลังวังชาโยมจะดีเป็นอัศจรรย์ ไม่เกินสิบห้าวันข้างหน้านี้..หลังจากนั้นไม่นานเธอเดินไปนมัสการพระพุทธเจ้าได้สำเร็จแม้ว่าตลอดทาง จะแวะพัก รวมถึงอาเจียนเรี่ยราดมาตลอด แต่เธอก็ทำสำเร็จ หลังจากนั้นเราให้เธอทำความสะอาดแท่นบูชา รวมถึงบริเวณที่บูชา พระพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เราก็เห็นเธอ และ ญาติทั้งหลายช่วยกันทำ เธอคงไม่สังเกตุตัวเองกระมัง ว่ามีแรงทำความสะอาดมาจากไหนอีก แต่เราสังเกตุเห็นดังนั้น
 กว่าเธอจะลงมาอีกก็บ่ายแก่ๆ เราให้แฟนเธอเตรียม อุปกรณ์ประคบหม้อเกลือ และ ให้เธอนอนประคบใต้โคนต้นพุทรา เลือกเอาทำเล ลมพัดผ่านสะดวก 
ตัวยาที่ให้ประคบมีดังนี้ 
ใบพลับพลึงซอย,ขมิ้นทั้งชันและขมิ้นอ้อยซอย,ตะไคร้ซอย,ไพลซอย,ใบมะกรูด
และนำยาทั้งหมดนี้วางลงไปในใบพลับพลึงที่ทำเป็นกากบาทไว้ ,วางบนผ้าดิบ และ เอาหม้อเกลือที่ใส่เกลือตัวผู้สักครึ่งหม้อและกำลังร้อนๆแตกเปรี๊ยะๆวางไปบนสมุนไพรนั้นๆ มัดผ้าแน่นๆ และ ค่อยๆประคบเธอ (คนป่วย) โดยมีผ้าขนหนูผืนเล็กวางรองไว้บนตัว กันน้ำยางจากใบพลับพลึงที่กำลังร้อนๆซึมจากผ้าดิบไปโดนคนไข้ ประคบให้ทั่วท้อง ไปตามหน้าอก รักแร้ หว่างแขน หว่างา และ ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ เราสั่งให้สามีเธอประคบให้เธอ เป็นจำนวนทั้งหมด4หม้อ ต่อการประคบหนึ่งครั้ง พยายามให้ทั่วตัวที่สุดไม่เว้นแม้ผ่ามือและผ่าเท้า
ตอนเย็นเราให้กินเมี่ยงสูตรของเรา สูตรนี้ใครท้องอืดเฟ้อ บ่อย อาหารไม่ย่อย รวมถึงเป็นกรดไหลย้อนก็กินได้หายมามากแล้ว
ขมิ้นชันซอย,ตะไคร้ซอย,ไพลซอย,ขิงซอย ห่อด้วยใบมะกรูด (ห้ามมะพร้าวซอย)
น้ำจิ้มเมี่ยง ใช้ น้ำมะกรูด มะนาว น้ำผึ้ง อาจเเต่งรสเค็มได้บ้าง ด้วยการใส่ซีอิ๊วขาว 
สองสามวันแรกเราให้ทำอย่างนี้ และ ให้กินเมี่ยงทุกวัน
วันที่สี่ เธอมาบอกเราว่า ตั้งแต่เธอมา เธอไม่ถ่ายเลย ทรมานมาก (นี่แหละตัวการที่ทำให้เธอวิงเวียนศีรษะ ไม่มีเรี่ยวแรง เนื่องจากเธอไม่ถ่ายอุจจาระนั่นเอง อันนี้แหละ เป็นพิษภัยอีกอย่างของการให้เคโมมามาก)
เราจึงให้เธอทานยาขนม เอาไว้ให้เธอระบาย
ตัวยามีดังนี้
มะขามเปียก ,ฝักคูณแก่ เอามาหนึ่งผัก ,ใบคูณ หนึ่งใบ นำไปต้มรวมกัน ใส่น้ำประมาณสองถ้วย พอเดือด เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ให้เหลือถ้วยครึ่ง แล้วเอามาดื่มตอนอุ่นๆ
วันที่ห้า เธอมีสีหน้าสดใสมากขึ้นกว่าเดิม เธอเดินมาบอกเราว่า อาจารย์หนูถ่ายแล้ว โล่งไปหมดเลย เราก็ดีใจไปกับเธอด้วย (ที่เราดีใจ เนื่องจากเราเห็นราศีที่หน้าของเธอ ปรากฏฉายแวว เปลี่ยนดวงแล้ว ไม่ตายแล้วต่างหาก)
อ้อลืมบอกไป ในตอนเย็นค่ำๆ เราให้เธอสวดมนต์นั่งกรรมฐานอุทิศบุญกุศล ด้วยทุกเช้าค่ำ 
บทสวดมนต์ที่เราให้เธอสวด เราเน้นทั้งเช้าและเย็น
บททำวัตรเช้าและวัตรเย็น ปรกติ
ต่อด้วย บทบูชาพระพุทธเจ้า28 พระองค์ ,บทบูชาพระพุทธสิหิงค์ ,บทบูชาพระอรหันต์แปดทิศ,ชุมนุมเทวดา ,บทธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง,บทเทวะตาอุยโยชะนะคาถา,บทมงคลจักรวาลน้อย,บทโพชฌังคะปะริตตัง,บทอุณหิสสะวิชะยะคาถา,บทกะระณียะเมตตะสุตตัง,บทขันธะปะริตตะคาถา,บทคาถาโพธิบาท ต่อด้วยบทกรวดน้ำอิมินาและต่อด้วยบทติโลกะวิชะยะราชะปัตติทานะคาถา และ แผ่เมตตา และ นั่งสมาธิ ทั้งหมดนี้ไปหาได้จากหนังสือมนต์พิธีของพระครูสมุห์เอียมได้ จากร้านสังฆภัณฑ์ทั่วไป
อ้อ...ลืมบอกไปว่าเราให้เธอสวดอีกรอบ ในระหว่างวันด้วยที่หน้าพระใหญ่
 วันที่เจ็ดแห่งการรักษา ปากเธอไม่พองแล้ว ทานอาหารได้มากกว่าปกติ ขอบปากเป็นสีชมพูเรื่อยๆ ไม่ไหม้แล้ว สภาพผิวแม้จะคล้ำ ก็ไม่กร้าน และ แห้ง
วันที่สิบแห่งการรักษา เรามีนิมิตฝัน เห็นชายนุ่งโจงกระเบนสีแดงเสื้อไม่ใส่ ตัวใหญ่มาก หน้าตาถมึงทึงเดินมา แต่พอมาใกล้ๆ แล้วท่านนั้น มีสีหน้าแววตาและอ่อนโยนลง บอกให้เรา เอาเปลือกมังคุด มาต้มกับน้ำ ให้คนป่วยกิน ตัดโรค พอเราตื่นขึ้น เช้านั้น เราไปเอามังคุดของวัด ในตอนนั้นมีอยู่มากที่คนเอามาทำบุญ ไปแกะเอาเปลือก มาล้างสะอาด และ ตากแดดให้แห้ง สั่งให้เธอ(คนป่วย) เอาไปต้มกิน แต่เราให้เธอกินสองสามวันแรก แค่วันละช้อนโต๊ะ และ เราก็สั่งให้เธอเพิ่มอีกช้อนโต๊ะในวันหลัง เพื่อเป็นการพิฆาตโรค
วันที่สิบห้าแห่งการรักษา
วันนั้นเราเห็นเธอพร้อมครอบครัวขึ้นเขาไปนมัสการพระพุทธเจ้า หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีพละกำลังวังชา แบบ คล่องตัวมาก เธออาจไม่ได้สังเกตหรอก แต่เราคอยสังเกตอาการอยู่  ทันทีที่เธอเดินลงมาจากเขา เราเดินเข้าไปหาเธอ บอกเธอว่า วันนี้ร่างกายเธอมีกำลังวังชาขึ้นมาก เกือบเป็นปรกติแล้วนะ เห็นไหมเธอเดินขึ้นเขาได้คล่องกว่าคนที่ร่างกายแข็งแรงดีเสียอีก เธอร่ำไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ พรรณาต่างๆ ยาวมาก ... เเล้วเราก็บอกเธอว่า เห็นไหมในพุทธบารมี ของพระพุทธเจ้า ที่เธอมีความตั้งใจจริง และ เธอทำได้ เห็นไหมในบารมีครูบาอาจารย์ เทพพรหมทั้งหลาย เรายิ้มและ เดินหันหลังกลับไปโดยไม่ฟังคำตอบจากเธอ...
เธออยู่กับเราแม้ว่าจะไม่ครบ77วันก็ตาม อาจเป็นเพราะเธอหายก่อนกำหนด เราจึงให้เธอไปรักษาดูแลตัวเองต่อที่บ้านและไปถือศีลต่อที่วัดข้างบ้านเธอ เราบอกเธอในตอนสุดท้ายก่อนที่เราจะแยกจากกันว่า ถ้าครบ77วันแล้ว ถ้าอยากกินอาหารใดๆ ก็ให้เริ่มจากไข่ก่อน อย่าเพิ่งเริ่มเนื้อสัตว์ใดๆ และที่สำคัญ ของแสลงห้ามกินตลอดชีวิต และ อย่าลืมสัจจะเรื่องศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ด้วย และ อย่าลืมให้หมั่นปฏิบัติตนให้เหมือนกับอยู่ที่วัดด้วย 
ตลอดเวลาที่เรา รับการรักษาโยมคนนี้ เราได้หัดให้เธอทำยาหม่อง และ ครีมพอกหน้าเด้งเป็นของแถม ซึ่งก็ได้ผลดี มีเงินช่วยค่าน้ำค่าไฟวัดนั้นมาก
ในท้ายนี้ เราจะให้สูตร ขนมมะขามดีท๊อกซ์ เป็นกำลังใจ สำหรับผู้ที่มีลำไส้ไม่ดี มีไขมันมาก รวมๆว่าล้างภายในละกัน สูตรเรามีดังนี้
มะขามเปียก1จับ,กล้วยน้ำว้า6ผล,ฝักคูณ1,ใบคูณ1ใบ, น้ำผึ้งตามส่วน,น้ำมะกรูด,น้ำมะนาว กวนให้เข้ากันให้เหนียวหนึบ พักไว้ให้เย็น จับเป็นก้อนกลมๆขนาดเท่านิ้วโป้ง คลุกกับน้ำตาลทราย แล้วเก็บใส่ถุง หรือ ใส่ กระปุกก็ได้
เก็บไว้ได้นาน ขอบอก การลดความอ้วนเป็นของแถม ผิวใส สิวยุบ หน้ามีเลือดฝาด  เราใช้มามากแล้ว ได้ผลเกินคาด
อ้อให้กินดูก่อนสำหรับคนไม่เคย วันละ1เม็ดพอ อร่อยมาก สูงสุดไม่เกิน3เม็ดต่อวัน
สูตรเราไม่หวงแต่ถ้าหายทำบุญให้ครูเราด้วย สงสัยให้โทรมาถามได้ที่ 086-831-56-75 อาจารย์โจ้
สิ่งที่ขอร้องอีกครั้ง 
โยมผู้ป่วยนี้ไม่ใช่คนรวยอะไร แต่มีจิตใจศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา แม้ว่าเธอจะหมดเนื้อหมดตัวไปเพราะการรักษาจากสารพัดวิธีแล้วก็ตาม แต่เธอไม่เคยหมดใจให้กับตัวเอง ปาฏิหารย์จึงมีจริง และ ด้วยวิธีการนี้เอง ที่เรานำไปรักษาผู้อื่น ให้หายมามากแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ซีดในมดลูก เนื้องอกต่างๆ ตลอดจนถึง คนที่เป็นเอสแอลอี เราบอกไว้ก่อนนะว่า เราไม่ใช่หมอเทวดา เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่เรามั่นคงในพระพุทธศาสนาและครูบาอาจารย์ของเราอย่างมั่นคง เราไม่หวงวิชา ไม่หวงตำรา 
แต่ขอเตือนคุณหมอทั้งหลายที่จะนำตำรับยาที่เราลงไว้ตลอดจนถึง วิธีการรักษาไปรักษาให้ผู้อื่น ขอให้เรียกร้องค่าใช้จ่ายแต่พอสมควร สำหรับผู้มีอันจะกิน ย้ำ แค่พอสมควรเท่านั้น แต่สำหรับผู้ยากไร้ สงเคราะห์เขาไปเถอะ แล้วแต่เขาให้จะดีกว่า ไม่มีให้ก็ไม่เป็นไร โรคมะเร็งนี้มันทรมานมาก อย่าไปซ้ำเติมคนป่วยอีกเลย เวรกรรมมันมีจริง ถ้าผู้ป่วยไม่ถึงคราวตาย ก็จะหายเอง 
และ ขอเตือนบรรดา คุณหมอทั้งหลายที่คิดอัตราค่ายาหม้อ หม้อละต้องหลายพันบาท อย่าทำเลย ถ้าท่านจะทำอย่างนั้น ก็จงอย่าใช้ตำรับยา และ วิธีการที่เราลงบันทึกเเจกไว้เลยนะ  เราจำต้องพูดเยี่ยงนี้ มิได้สบประมาทท่าน หรือ ดูแคลนท่าน เราแค่เตือนสติท่าน ท่านไม่ฟังก็คิดเสียว่าเหมือนดังลมผ่านหูไป หากท่านโกรธ เราก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย 
อันชีวิตไม่ถึงคราว    ชีวาวาตม์
ใครพิฆาตเข่นฆ่า     ไม่อาสัญ
หากแม้ถึง คราวตาย วายชีวัน
ไม้จิ้มฟัน แทงเหงือก ยังเสือกตาย
                                                                   อาจารย์โจ้ ซินแส ปฐพีศาสตร์รักษามะเร็ง หายชะงัด ให้เป็นวิทยาทาน
 
 

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทสวดมนต์ ปารมีธรรมพันชั้น และ ประวัติที่มา

ปารมีธรรมพันชั้น
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓หน) ระลึกพระคุณพระรัตนตรัยเจ้า
     ทานะปารมี       ทานะอุปะปารมี    ทานะปรมัตถะปารมี
ศีลปารมี                 ศีลอุปะปารมี         ศีลปรมัตถะปารมี
เนกขัมมะปารมี     เนกขัมมะอุปะปารมี             เนกขัมมะปรมัตถะปารมี
ปัญญาปารมี           ปัญญาอุปะปารมี   ปัญญาปรมัตถะปารมี
วิริยะปารมี             วิริยะอุปปะปารมี  วิริยะปรมัตถปารมี
ขันติปารมี              ขันติอุปะปารมี      ขันติปรมัตถปารมี
สัจจะปารมี             สัจจะอุปปะปารมี  สัจจะปรมัตถะปารมี
อธิฐานปารมี          อธิฐานอุปะปารมี  อธิฐานปรมัตถะปารมี
เมตตาปารมี            เมตตาอุปปะปารมี เมตตาปรมัตถะปารมี
อุเบกขาปารมี         อุเบกขาอุปะปารมี อุเบกขาปรมัตถะปารมี
โยโส      ภควา       อิติปิ
ทานะปารมี โยโส ภควา อิติปิ
ทานะอุปะปารมี โยโส ภควา อิติปิ
มหาทสะ พลังพลา                 ปัญญัง ปัญญา        เดชังเดชา                                ปุญญัง ปุญญา        สีลังสีลา                  อุคคิตัง อุคคิตา
สัมปปันโน            โสภะคะวา             อิติปิ
เวทิตัพพัง เวทิตัพโพ มหาทสะ พลังพลา ปัญญัง ปัญญา ภาวนังภาวนา  เดชังเดชา ปุญญังปุญญา สีลังสีลัญจะ
คุณาคุณันจะ เหตุ ปัจจโย สัมปันโน โส ภควา อิติปิ
อุตตะมัง อุตตะมา มหาทสะ พลังพลา ปัญญังปัญญา ภาวนังภาวนา  เดชังเดชา ปุญญัง ปุญญา สีลังสีลัญจะ
คุณาคุณันจะ เหตุ ปัจจโย สัมปันโน โส ภควา อิติปิ
สุขุมัง สุขุมา มหาทสะ พลังพลา ปัญญังปัญญา ภาวนังภาวนา  เดชังเดชา ปุญญัง ปุญญา สีลังสีลัญจะ
คุณาคุณันจะ เหตุ ปัจจโย สัมปันโน โส ภควา อิติปิ
พุทธัสสะ สัมพุทโธ มหาทสะ พลังพลา มุนีมุนา มหาคุณะ ราชังราชา ปัญญังปัญญา เดชังเดชา ปุญญังปุญญา สีลังสีลัญจะ คุณาคุณันจะ อุคคิตัง อุคคิตา สาธิหิตะ จริยา สัมปันโน โส อิติปิโส ภควา
อิติปิ สมะติงสะ ปารมีโยปริโต โสภควา อิติปิ
 
ประวัติพระธรรมบทนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุธธัสสะ เอวัมเมสุตัง เอกังสะมะยัง ภควา
                ยังมีกาลหนึ่งวันนั้น สัพพัญญูพระพุทธเจ้าแห่งเรา สถิตสำราญเหนือจอมเขาคิชกูฏ อันมีในที่จิ่ม (ซึ่งอยู่ใกล้เคียง) เมืองราชคฤห์ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ๑,๒๕๐ ตน ย่อมเป็นอรหันตาทุกองค์ เว้นไว้แต่มหาอานันทะเถระเจ้า (พระอานนท์) องค์เดียวที่เป็นเสขบุคคล สักโก เมื่อนั้น พญาอินทรา เทวบุตร ทั้งหลายได้ยิบ(สิบ) หมื่นตน และ  ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ตนก็มา เทวบุตรอยู่ชั้นฟ้าจตุมหาราชิกา ได้ยิบหมื่นตนก็มา มหาพรหมชื่อสะหัมปะฏิ และ พรหม ทั้งหลายได้ยิบหมื่นตนก็มา พรหมทั้งหลายอันอยู่ในสุทธาวาทก็มาไหว้พระพุทธเจ้า กับทั้งพระอรหันตาเจ้าแล้วก็นั่งอยู่ที่ควรแก่ตนแล อะธะโข เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าก็กล่าวแก่มหาสารีบุตร และ เจ้าสุภูติสสะเถระ อนุญาตให้สำแดงยังปัญญาบารมี แห่งพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว จึงได้ตรัสรู้พระโพธิญาณ และ ปันเจกโพธิญาณ อรหันตาสาวกบารมีญาณอันมีปัญญาบารมีแควน(เลิศ) ยิ่งกว่าบารมีทั้งมวล
                มหาเถระเจ้าทั้งสองก็ปุจฉาวิสัชชะนาเห็นยังปัญญาบารมีแควนยิ่งกว่าบารมีทั้งหมดและแม้นว่าบุคคลหญิงชายทั้งหลายได้สาธยาย(ท่อง) จำเริญภาวนาเทียรย่อม (มักจะ) รักษาบุคคลผู้นั้น ให้จำเริญด้วยข้าวของสมบัติในชั้นฟ้า และ เมืองคน และ โลกุตระสมบัตินิพพานเจ้านั้นก็มีแหละ พระปํญญาบารมีธรรมนี้ ย่อมเป็นคุณแก่บุคคลหญิงชายทั้งหลาย บุคคลใด ได้เรียนได้สาธยายไว้ไหว้บูชาครบยำ(เคารพยำเกรง)ไว้เป็นของขลังเป็นยันต์อันวิเศษนั่นแหละ ด้วยเดชะบารมีธรรมเจ้าจะรักษาให้บุคคลผู้นั้นจำเริญด้วย อายุ วรรณะ มีตนอันเลางาม(สวยงาม) เป็นที่รักจำเริญใจ เป็นที่ควรเล็งแลมองจ้องแก่คนและเทวดาทั้งหาย เทียรย่อมให้บุคคลผู้นั้นมีสุขทุกเมื่อ มีกำลัง มีผญาปัญญา อันคมกล้า เร่งเร็ว ฉลาดเฉลียว รู้การอันผิดอันชอบทั้งมวล บุคคลผู้นั้นจักมีใจชื่นบานงาม จักมีคำปากต้านเจียนจา (โต้ตอบเจรจากัน) ม่วน(สนุก) เพราะนักเป็นที่รักแก่บุคคลชายหญิงทั้งหลายในโลกนี้ดีหลี(ดีจริงๆ)แหละเหตุดังอั้น จึงว่าพระปัญญาบารมีแควนยิ่งแควนประเสริฐกว่าแก้วมณีโชติ แห่งพระยาจักรพรรดิราชนั่นแหละว่าอันที่นั้น พระยาอินทราจึงกราบไหว้พระพุทธเจ้าว่า
                ภันเต ภควา ข้าแห่ง(ข้าแต่) พระพุทธเจ้าตน(ผู้) เป็นที่พึ่ง ขอพระพุทธเจ้าจงเทศนายังปัญญาบารมีธรรมแก่ผู้ข้าทั้งหลาย ผู้ข้าทั้งหลายจักจดจำไว้สาธยาย เพื่อให้เป็นประโยชน์และ เป็นที่จั้งที่พึ่งแก่ กุลบุตตา กุลธิดา หญิงชายทั้งหลายเถิด พระพุทธเจ้าเมื่อจะเทศนาก็กล่าวว่า ดูรา อินทราธิราช อันว่าปํญญาบารมีธรรมนี้ประเสริฐนักแลท่านทั้งหลายจงจักฟังจำไว้สาธยายดั่งนี้เถิด
   
  ทานะปารมี          ทานะอุปะปารมี    ทานะปรมัตถะปารมี
ศีลปารมี                 ศีลอุปะปารมี         ศีลปรมัตถะปารมี
เนกขัมมะปารมี     เนกขัมมะอุปะปารมี             เนกขัมมะปรมัตถะปารมี
ปัญญาปารมี           ปัญญาอุปะปารมี   ปัญญาปรมัตถะปารมี
วิริยะปารมี             วิริยะอุปปะปารมี  วิริยะปรมัตถปารมี
ขันติปารมี              ขันติอุปะปารมี      ขันติปรมัตถปารมี
สัจจะปารมี             สัจจะอุปปะปารมี  สัจจะปรมัตถะปารมี
อธิฐานปารมี          อธิฐานอุปะปารมี  อธิฐานปรมัตถะปารมี
เมตตาปารมี            เมตตาอุปปะปารมี เมตตาปรมัตถะปารมี
อุเบกขาปารมี         อุเบกขาอุปะปารมี อุเบกขาปรมัตถะปารมี
โยโส      ภควา       อิติปิ
ทานะปารมี โยโส ภควา อิติปิ
ทานะอุปะปารมี โยโส ภควา อิติปิ
มหาทสะ พลังพลา                 ปัญญัง ปัญญา        เดชังเดชา                                ปุญญัง ปุญญา        สีลังสีลา                  อุคคิตัง อุคคิตา
สัมปปันโน            โสภะคะวา             อิติปิ
เวทิตัพพัง เวทิตัพโพ มหาทสะ พลังพลา ปัญญัง ปัญญา ภาวนังภาวนา  เดชังเดชา ปุญญังปุญญา สีลังสีลัญจะ
คุณาคุณันจะ เหตุ ปัจจโย สัมปันโน โส ภควา อิติปิ
อุตตะมัง อุตตะมา มหาทสะ พลังพลา ปัญญังปัญญา ภาวนังภาวนา  เดชังเดชา ปุญญัง ปุญญา สีลังสีลัญจะ
คุณาคุณันจะ เหตุ ปัจจโย สัมปันโน โส ภควา อิติปิ
สุขุมัง สุขุมา มหาทสะ พลังพลา ปัญญังปัญญา ภาวนังภาวนา  เดชังเดชา ปุญญัง ปุญญา สีลังสีลัญจะ
คุณาคุณันจะ เหตุ ปัจจโย สัมปันโน โส ภควา อิติปิ
พุทธัสสะ สัมพุทโธ มหาทสะ พลังพลา มุนีมุนา มหาคุณะ ราชังราชา ปัญญังปัญญา เดชังเดชา ปุญญังปุญญา สีลังสีลัญจะ คุณาคุณันจะ อุคคิตัง อุคคิตา สาธิหิตะ จริยา สัมปันโน โส อิติปิโส ภควา
อิติปิ สมะติงสะ ปารมีโยปริโต โสภควา อิติปิ
 
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ดูรา อินทราธิปัตติ มหาราช ท่านจงเรียนเอายังปารมีธรรมอันนี้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ กุลบุตตา กุลธิดา หญิงชายทั้งหลายเถิด ว่าอั้นที่นั่น พระยาอินทราจึงไหว้พระพุทธเจ้าว่า
                ภันเต ข้าแด่ สัพพัญญูพระพุทธเจ้า กุลบุตตา กุลบุตธิดา หญิงชายทั้งหลาย หมู่ใด ได้เรียนได้เขียนไว้ไหว้ จะมีพลาอานิสงส์ดั่งฤา
                พระพุทธเจ้า จึงกล่าวว่า ดูรา อินทราธิราช บุคคลผู้ใด ได้สร้างได้เขียน ได้เรียน ได้สาธยาย(ท่อง) บารมีธรรมอันนี้ บ่ห่อนว่าจะตาย(ไม่ค่อยจะตาย) ด้วยหอก ดาบไม้ค้อน ก้อนดินสักครั้งแหละ เหตุว่าได้กระทำพ่ำแพง(บำเพ็ญ) ปารมีธรรมอันประเสริฐ แม้นท่านผู้อื่น คือว่า เสนาอำมาตย์ผู้ใหญ่จักข่มเหง เต๋งแป๊ะ (ชนะ) บ่ได้ แม้นว่า อุปัทวอันตรายทั้งหลายทั้งปวงก็จักระงับกลับกลายหายเสียแก่บุคคลผู้นั้น เหตุปัญญาปารมีธรรมเจ้าหากรักษาแล ราชาปิ แม้นท้าวพญาผู้ใหญ่ กัณหัน(เห็น) ก็ชื่นชมบานงามใคร่ปากต้านเจียนจากับผู้นั้นแหละแม้นไปที่เกรง(น่ากลัว) สัตว์ทั้งหลายก็ไม่อาจจะกระทำให้เป็นอันตรายได้แล
                ยามนั้น อัญดิตถีย์ (ลูกศิษย์เทวทัต) ทั้งหลายปองร้ายมักใคร่ข่มเหงพระพุทธเจ้าเขาก็เข้ามาใกล้พระพุทธเจ้า ณ ที่นั้น พระยาอินทราเล็งเห็น (มองเห็น) อัญดิตถีย์ ทั้งหลายเข้ามาสู่พระพุทธเจ้าดังอั้น พระยาอินทร์ รู้ใจคนิง(คิด,นึกในใจ)แห่งอัญดิตถีย์นั้นว่ามักใคร่ข่มเหงพระพุทธเจ้าจะแหละปัญญาปารมีที่เราได้เรียนมาแต่สำนักพระพุทธเจ้าแล้วเราจะระลึกถึงจะสังวัธยาย(สาธยาย) อย่าให้มันเข้ามาใกล้ได้เถิด พระยาอิทราก็สังวัธยาย(ท่อง) ปัญญาปารมีธรรมแท้ เมื่อนั้น อัญดิตถีย์ทั้งหลายก็ครบยำ(เคารพ) พระพุทธเจ้าแล้ว ก็หลีกฟีกหนีไปนั่นแหละ เมื่อนั้นพระพุทธเจ้า กล่าวว่าดูรา สารีบุตร พระยาอินทรารู้ใจ อัญดิถีย์ ทั้งหลาย อันจะมาข่มเหมเตงเต็ก (บังคับ) พระตถาคต ก็สังวัธยายปัญญาปารมี อัญดิถีย์ทั้งหลายก็รวด(เลยไป) ถอยหนีไม่อาจจะอยู่ได้แหละ
                เมื่อนั้นพระยามารผู้เป็นปาปะบุคคล(คนใจบาป) คะนึงใจว่า บรรษัท (พุทธบริษัท) ทั้งสี่หมู่ ทั้งกามาวจระเทวบุตร และ รูปาวจระเทวบุตรทั้งหลาย ชุมนุมกันในที่นั้นมากนักฉะนั้น เราจะไปกวนก๋า (รบกวน) เพื่อจะให้เขาละทิ้งพระพุทธเจ้าเสียเถิด ครั้นแล้วพระยามารก็เนรมิตหมู่จตุรงค์เสนาทั้งสี่จำพวกเข้ามาสู่พระพุทธเจ้าแหละ ที่นั่นพระยาอินทราจึงรำพึงว่า รี้พลอำมาตย์ทั้งหลายหมู่นี้  ก็ไม่ใช่รี้พลสกลเสนาท้าวพระยาทั้งหลายมีต้น(เป็นต้น) ว่าพระยาพิมพิสารแต่เป็นรี้พลพระยามารผู้ใจบาปจะแหละว่าอั้น พระยาอินทราก็สังวัธยายปัญญาปารมีธรรมพระพุทธเจ้าอั้นนี้ พระยามารก็ถอยหนี ฮั่นแหละ (นั่นแหละ) เทวบุตรเทวดาทั้งหลายก็มาเรี่ยรายผาย(โรย) ดอกไม้ กาซะลองทิพย์ ตกลงมาบูชาพระพุทธเจ้ามากนัก
                พระยาอินทราจึงไหว้พระพุทธเจ้าว่า ภันเต ข้าแห่ง(ข้าแด่) พระพุทธเจ้า ปัญญาปารมีธรรมอันนี้บุคคลผู้ใดได้สร้างได้เขียนไว้ไหว้นบครบยำดั่งอั้น บุคคลผู้นั้นเรียกได้ว่า ได้กระทำบุญใหญ่ในสำนักแทบเท้าแห่งพระพุทธเจ้ามากนักจะแล บุคคลผู้นั้น จะตกถ่อย(ตกต่ำ) ก็ไม่มี เรียกว่ามีบุญสมภารมากนักแท้แหละ ภันเต ข้าแห่ง พระพุทธเจ้า บุคคลผู้ใดได้สร้างได้เขียนได้เรียนไว้สังวัธยาย(สาธยาย)ปฏิบบัติฉันนี้ จะมีอานิสงส์ช่วงนี้ช่วงหน้า (ชาตินี้ชาติหน้า) ดังฤา(อย่างใด) พระพุทธเจ้าเทศนาว่า ดูรา อินทราธิราช สัพพัญญูตั๋นญาณ (สัพพัญญุตญาณ) อันเกิดแก่พระพุทธเจ้าก็เหตุปัญญาปารมีแก่กล้าบวรมวล(บริบูรณ์)แล้วจงได้ตรัสรู้ฟญาสัพพัญญูตั๋นญาณ
                เมื่อนั้น มหาอานันทะเถระเจ้า (พระอานนท์) จึงไว้พระพุทธเจ้าว่า ภันเต ภควา ข้าแด่พระพุทธเจ้าเท่า(เฉพาะ)ยกยอยังปัญญาปารามีแควนยิ่งไม่ยกยอยัง ทานปารมี ขันติปารมีอั้นจา(ทำไม) พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่าปัญญาปามีธรรมนี้เป็นเก๊า(เบื้องต้น,ประธาน)แก่ ปารมีทั้งปวง มีทานะปารมีเป็นต้น มีอุเบกขาปารมีเป็นที่สุด เป็นดั่งฤา คือ เป็นดั่งแผ่นดิน อันเป็นที่งอกงามออกมาแห่งข้าวกล้านั้น เหตุปัญญาปารมีเป็นที่ตั้งที่เกิดแห่งปารมีทั้งปวงแหละ พระยาอินทร์ไหว้ว่า ภันเต ข้าแต่พระพุทธเจ้า บุคคลหญิงชายทั้งหลายปฏิบัติฉันนั้น จะมีพละ(ผล)เท่าใด ขอพระพุทธเจ้าจงเทศนาให้แจ้งแก่ผู้ข้าทั้งหลายเถิด เมื่อพระยาอินทราถามแล้ว พระพุทธเจ้าก็เทศนาว่า ดูรา อินทราธิราช หญิงชายใด ได้เรียนจำไว้ให้มั่นแต่พระรสธรรมเจ้าก็ดี ไว้ไหว้ครบยำก็ดี ยังปารมีธรรมอันนั้นก็จะรักษาให้บุคคลผู้นั้นพ้นจากกังวลอันตรายทั้งปวงแหละ แม้นเทวบุตรและเทวดาทั้งหลายได้แสนโกฏิก็เข้าสู่สำนักผู้อั้น ได้สังวัธยายนั้น แม้นบุคคลผู้นั้นเกียจคร้านสังวัธยายดั่งอั้น เทวบุตรและเทวดาทั้งหลาย ก็เอาปัญญาปารมีให้บุคคลผู้นั้นใส่ใจสังวัธยายมากนักแหละ
                ดูรา อิทราธิราช บุคคล ผู้นั้นก็บ่หอนมีใจหดย่อ (เกียจคร้าน,แพ้) มักว่าไม่เกรงขามในคณะหมู่บริษัททั้งหลาย เทียรย่อม(นับว่าจะ) มีหน้าอันชื่นบานใสงาม เหตุปํญญาปารมี หากรักษาบุคคลผู้นั้น ให้มีใจอันดี อันงามรวด เว้นจาก ปาปะธรรม เหตุเป็นอุบายอันจะมีสุขในภพชาตินี้ และ ชาติหน้า ดูกร พระยาอิทราธิราช แม้ว่า เทวบุตรในชั้นฟ้าจตุมหาราชิกา และ ตาวติงสา (ดาวดึงส์) อกนิษฐาพรหมก็ดี อันปรารถนาเอาโพธิญาณนั้นก็ยังเข้ามาสู่ฐานะที่อันไว้ปัญญาปารมีที่นั้นแล้ว ไหว้นบครบยำบูชาขึ้นในเอามือ (กลับ) เทศนาสั่งสอน เทวดาทั้งหลายสืบกันไปแหละ
                ดูรา อินทราธิราช ไม่เพียงแต่บุคคลเทพยดาอยู่ในจักรวาลอันนี้สิ่งเดียว แม้นว่าเทพยาอันอยู่ในกามาวจระแสนโกฏิจักรวาลอันปรารถนาเอาโพธิญาณอันประเสริฐนั้นดั่งอั้น เทพยดาทั้งหลายจักเข้าไปสู่ไปหาจักรักษา ฉะนั้น บ่ห่อนมีภัยกังวล มีภัยอันตรายอันร้ายอันนี้ก็เป็นอานิสงส์ช่วงนี้ช่วงหน้าแท้แหละ เหตุดั่งอั้น บุคคลชายหญิง คือ คนและ เทพยดา
 อสุรินทรา ครุฑ นาค ผีเสื้อทั้งหลายจุ่ง(จึง)พากันมาฟังและเรียนไว้ไหว้นบครบยำบูชาพระธรรมคือว่าปัญญาปารมีธรรมเป็นเก๊าอันยิ่ง ไว้เทศนาสอนกันสืบไปเถิด อันนี้เป็นธรรมอันยิ่งแหละ พระตถาคตก็ให้แก่ท่านทั้งหลาย อินทราธิราชก็ไหว้พระพุทธเจ้าว่า
                ภันเต ภควา ข้าแด่สัพพัญญูพระพุทธเจ้า บุคคลทั้งหลายดั่งฤาแหละจะรู้อย่างไรว่า คันธัพพะ อสุรินรา ครุฑ นาค ลงมา พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ดูรา อินทราธิราชบุคคล ชายหญิงทั้งหลาย เห็นรัศมีอันแจ้งส่องรุ่งเรือง ในฐานะที่ใดอันหนึ่ง หอมกลิ่นคันธรสอบตลบบ่ห่อนมีในเมืองนี้ดังอั้น ก็จึงรู้ว่าเทพยดาลงมาในที่นั้นแหละ เทียรย่อมเห็นนิมิตราฝันดันดี คือว่าฝันหัน(ฝันเห็น) พระเจ้าและ พระปัจเจกโพธิเจ้า ฝันเห็นไม้ศรีมหาโพธิ ฝันหันลูกศิษย์พระเจ้า ฝันเห็นปัญญาปารมี ฝันหันรูปอริยะ ฝันหันโพธิปักขิยธรรม(พระธรรมของพระพุทธเจ้า)ฝันหันฝูงนี้ ได้ชื่อว่าฝันหันดีทุกอันแหละ อันนี้เป็นพละ (ผล) ให้มีสุขในช่วงหน้าแหละ ที่นั่น อิทราธิราชจึงไหว้พระพุทธเจ้าว่า
                ภันเต ภควา นายะกะ ข้าแด่สัพพัญญูพระพุทธเจ้า ตนเป็นที่พึ่งแก่โลกทั้งปวง กุลบุตตา กุลธิดา หญิงชายทั้งหลาย หากเลื่อมใสในคุณพระปารมีแท้ดั่งอั้น ข้าก็จะรักษาบุคคลหญิงชาย ทั้งหลายฝูงนี้จะแหละ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ดูรา อินทราธิราช ดีนักแหละ บุคคลผู้ใดเชื่อคุณครบยำยังปัญญาปารมีแท้มหาราชอย่าได้ละเขาเสียจุ่ง(จึง) รักษา กุลบุตตา กุลธิดา หญิงชายหมู่นั้นให้มีสุข อย่าให้มีทุกข์กังวล อันตรายสักนิดเถิด ดูกรอินทราธิราช  บุคคลหญิงชายผู้ใดได้สร้างได้เขียนได้เรียนไว้ไหว้นบครบยำสังวัธยายดั่งอั้น ก็เรียกได้ว่าสร้างกองบุญราศีอันกว้างขวางมากนักในโลกนี้แกละ พระยาอินทราไหว้ว่า
                ข้าแห่งพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า อันว่าแก้วลูกประเสริฐ คือว่า ปัญญาปารมีธรรมนี้อยู่ในฐานะที่ใด สัตว์ และ คนทั้งหลายไม่อาจจะกระทำร้ายได้แหละ ผี ปีศาจร้ายจะเบียดเบียนก็ไม่ได้ ดูรา อิทราธิราช บุคคลผู้นั้นบ่ห่อนลำบากด้วยตนสักครั้งแหละ ลมเสียด พยาธิ เจ็บ ลำบาก และงูอสรพิษก็ไม่ใกล้ได้ แม้งูอสรพิษ ขบ ต่อย กัด แม้นนึกถึงปัญญาปารมีธรรมอยู่ใจ้ๆ(บ่อยๆ)ก็ดี ก็หากจะระงับกลับหายไปด้วยเดชะอานุภาวะ(อานุภาพ)ปารมีธรรมเจ้าแหละ พระพุทธเจ้าสำแดงยังปัญญาปารมีว่า มีอานิสงส์พลอันมากด้วยเดชะอานุภาวะ บุญช่วงนี้ช่วงหน้าให้แจ้งแก่เทพยดาทั้งหลายมีอินทราธิราชเป็นต้น ก็มีวันนั้นแหละ
                ปัญญาปารมีธรรมสังวรรณณา(กล่าวมาแล้ว)นิตธิตา(จบ)ขียาอันกล่าว อัปมัยยะคุณปารมีอันมีในคัมภีร์ปัญญาปารมี๘,๐๐๐ชั้น(แปดพันชั้น) อันถ้วนครบ๓๐ ก็บริบูรณ์ เท่านี้แหละ
                คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปกิณกะ๑ หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนากิจห้วยต้ม วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน
                ขออนุญาตพิมพ์โดยไม่ได้ขอโดยตรงกับวัด เพราะเห็นมีคุณประโยชน์เหลือล้นเพราะพระเมตตาของพระพุทธเจ้าและ หลวงปู่ จึงตั้งใจพิมพ์ถวายเป็นพุทธบูชา และ ครูบาอาจารย์ทุกท่าน ตลอดถึง บิดามารดา ผู้มีพระคุณ พรหม เทวดา นางฟ้า ทั่วทั้งสากลจักรวาล
https://www.facebook.com/Arjarnjo